วัดธรรมิกราช ซึ่งเดิมชื่อว่า "วัดมุขราช" ตั้งอยู่ในอำเภอพระนครศรีอยุธยาของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ด้วยทำเลที่ตั้งติดกับพระราชวังโบราณและวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดนี้ได้เป็นสักขีพยานแห่งการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน
วัดธรรมิกราชนับเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงศิลปะและสถาปัตยกรรมยุคอยุธยา โดยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่และสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงศิลปะแบบไทยที่งดงาม นอกจากนี้ วัดยังเป็นที่ตั้งของสถูปและโบราณสถานอื่นๆ ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวไทยในอดีต
ในปัจจุบัน วัดธรรมิกราชยังคงมีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและปฏิบัติธรรมอยู่ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้และการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การไปเยี่ยมชมวัดนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการศึกษาและชื่นชมความงามของวัฒนธรรมไทย รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับวัดนี้ในอดีตไปจนถึงปัจจุบัน
เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งสร้างวัดพนัญเชิงขึ้น พระราชโอรสของพระองค์คือพระเจ้าธรรมิกราชได้โปรดให้สร้าง "วัดธรรมิกราช" ขึ้นที่เมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระนครศรีอยุธยา ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของพระเจดีย์สิงห์ 52 ตัวที่ล้อมรอบ ซึ่งแตกต่างจากเจดีย์ทั่วไป นับเป็นพระเจดีย์สิงห์เพียงแห่งเดียวในพระนครศรีอยุธยา
พระมหากษัตริย์หลายรัชกาลได้ทรงบูรณะวัดนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมีร่องรอยการซ่อมแซมและพื้นที่ของวัดที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระนคร ตามคติโบราณถือว่าเป็นทิศมงคล ในสมัยสมเด็จพระไตรโลกนาถทรงธรรม (พ.ศ. 2153) พระองค์ทรงบูรณะวัดและสร้างพระวิหารหลวงและพระวิหารพระพุทธไสยยาสน์ พร้อมทั้งเชื่อกันว่าน้ำพระพุทธมนต์ในพระวิหารมีความศักดิ์สิทธิ์สูง
ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะล่มสลาย พระเจ้าอุทุมพรผนวชที่วัดนี้และมีมหาดเล็กชื่อนายหง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือป้องกันบ้านเมือง ต่อมานายหงได้ร่วมกับพระยาตาก (สิน) ในการกู้อิสรภาพให้แก่กรุงศรีอยุธยา และต่อมาได้รับพระราชทานเป็นพระยาเพชรพิชัย ซึ่งบรรพบุรุษของพระยาเพชรพิชัยยังคงดำรงตำแหน่งในราชการมาจนถึงรัชกาลที่ 5 ภริยาของพระยาเพชรพิชัยได้ทำการบูรณะวัดขึ้นในสมัยที่พระครูธรรมิกาจารคุณ (ฟัก) เป็นเจ้าอาวาส โดยมีแผนจะขอพระราชทานเป็นพระอารามหลวง แต่ยังไม่เสร็จสิ้นก็สิ้นพระชนม์ก่อน
พระอุโบสถเดิมภายในวัดมีพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองและผนังภาพพุทธประวัติ ทว่าพระอุโบสถดังกล่าวได้ทรุดตัวลง และทางวัดได้ดำเนินการซ่อมแซม โดยมีกรมศิลปากรเข้ามาช่วยเหลือในการซ่อมแซม เดิมเขตกฎีสงฆ์อยู่หลังพระอุโบสถติดกับศาลพระเจ้าธรรมิกราช และในสมัยนายปรีดีพนมยงค์ ได้มีการบูรณะพระวิหารมงคลบพิตรและวัดธรรมิกราช แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมือง การบูรณะจึงยังไม่เสร็จสิ้น ต่อมาในสมัยของจอมพลแปลกพิบูลสงคราม ได้มีการสร้างกำแพงวัดและปูพื้นพระวิหารพระนอน แต่เช่นกัน การก่อสร้างไม่สมบูรณ์เนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมือง กรมศิลปากรจึงเข้ามารับช่วงการบูรณะต่อไป
เศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์เป็นศิลปะสมัยอู่ทอง เดิมอยู่ในวิหารหลวงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก กล่าวว่าผู้ใดเป็นคดีความกันมาสาบานต่อหน้าพระพักตร์คนผิดต้องตายหรือมีอันเป็นไปทุกคนเป็นที่กล่าวขานกันมาก สมัยที่พระยาโบราณราชธานินทร์ เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในพระราชวังจันทรเกษม ได้นำเศียรพระพุทธรูปนี้ไป ต่อมากรมศิลปากรจึงนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา ความศักดิ์สิทธิ์จึงคลายไป
วัดธรรมิกราช (พระนครศรีอยุธยา) เปิดให้เข้าทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
วัดธรรมิกราช ซึ่งเดิมชื่อว่า "วัดมุขราช" ตั้งอยู่ในอำเภอพระนครศรีอยุธยาของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ด้วยทำเลที่ตั้งติดกับพระราชวังโบราณและวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดนี้ได้เป็นสักขีพยานแห่งการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน
วัดธรรมิกราชนับเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงศิลปะและสถาปัตยกรรมยุคอยุธยา โดยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่และสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงศิลปะแบบไทยที่งดงาม นอกจากนี้ วัดยังเป็นที่ตั้งของสถูปและโบราณสถานอื่นๆ ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวไทยในอดีต
ในปัจจุบัน วัดธรรมิกราชยังคงมีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและปฏิบัติธรรมอยู่ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้และการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การไปเยี่ยมชมวัดนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการศึกษาและชื่นชมความงามของวัฒนธรรมไทย รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับวัดนี้ในอดีตไปจนถึงปัจจุบัน
เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งสร้างวัดพนัญเชิงขึ้น พระราชโอรสของพระองค์คือพระเจ้าธรรมิกราชได้โปรดให้สร้าง "วัดธรรมิกราช" ขึ้นที่เมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระนครศรีอยุธยา ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของพระเจดีย์สิงห์ 52 ตัวที่ล้อมรอบ ซึ่งแตกต่างจากเจดีย์ทั่วไป นับเป็นพระเจดีย์สิงห์เพียงแห่งเดียวในพระนครศรีอยุธยา
พระมหากษัตริย์หลายรัชกาลได้ทรงบูรณะวัดนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมีร่องรอยการซ่อมแซมและพื้นที่ของวัดที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระนคร ตามคติโบราณถือว่าเป็นทิศมงคล ในสมัยสมเด็จพระไตรโลกนาถทรงธรรม (พ.ศ. 2153) พระองค์ทรงบูรณะวัดและสร้างพระวิหารหลวงและพระวิหารพระพุทธไสยยาสน์ พร้อมทั้งเชื่อกันว่าน้ำพระพุทธมนต์ในพระวิหารมีความศักดิ์สิทธิ์สูง
ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะล่มสลาย พระเจ้าอุทุมพรผนวชที่วัดนี้และมีมหาดเล็กชื่อนายหง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือป้องกันบ้านเมือง ต่อมานายหงได้ร่วมกับพระยาตาก (สิน) ในการกู้อิสรภาพให้แก่กรุงศรีอยุธยา และต่อมาได้รับพระราชทานเป็นพระยาเพชรพิชัย ซึ่งบรรพบุรุษของพระยาเพชรพิชัยยังคงดำรงตำแหน่งในราชการมาจนถึงรัชกาลที่ 5 ภริยาของพระยาเพชรพิชัยได้ทำการบูรณะวัดขึ้นในสมัยที่พระครูธรรมิกาจารคุณ (ฟัก) เป็นเจ้าอาวาส โดยมีแผนจะขอพระราชทานเป็นพระอารามหลวง แต่ยังไม่เสร็จสิ้นก็สิ้นพระชนม์ก่อน
พระอุโบสถเดิมภายในวัดมีพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองและผนังภาพพุทธประวัติ ทว่าพระอุโบสถดังกล่าวได้ทรุดตัวลง และทางวัดได้ดำเนินการซ่อมแซม โดยมีกรมศิลปากรเข้ามาช่วยเหลือในการซ่อมแซม เดิมเขตกฎีสงฆ์อยู่หลังพระอุโบสถติดกับศาลพระเจ้าธรรมิกราช และในสมัยนายปรีดีพนมยงค์ ได้มีการบูรณะพระวิหารมงคลบพิตรและวัดธรรมิกราช แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมือง การบูรณะจึงยังไม่เสร็จสิ้น ต่อมาในสมัยของจอมพลแปลกพิบูลสงคราม ได้มีการสร้างกำแพงวัดและปูพื้นพระวิหารพระนอน แต่เช่นกัน การก่อสร้างไม่สมบูรณ์เนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมือง กรมศิลปากรจึงเข้ามารับช่วงการบูรณะต่อไป
เศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์เป็นศิลปะสมัยอู่ทอง เดิมอยู่ในวิหารหลวงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก กล่าวว่าผู้ใดเป็นคดีความกันมาสาบานต่อหน้าพระพักตร์คนผิดต้องตายหรือมีอันเป็นไปทุกคนเป็นที่กล่าวขานกันมาก สมัยที่พระยาโบราณราชธานินทร์ เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในพระราชวังจันทรเกษม ได้นำเศียรพระพุทธรูปนี้ไป ต่อมากรมศิลปากรจึงนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา ความศักดิ์สิทธิ์จึงคลายไป
วัดธรรมิกราช (พระนครศรีอยุธยา) เปิดให้เข้าทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.