วัดป่าโมกวรวิหาร ตั้งอยู่ที่เขตเทศบาลตำบลป่าโมก ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ห่างจากอำเภอไม่ไกล ในอดีต ที่นี่มีวัด 2 วัด ตั้งอยู่ติดกัน คือ วัดตลาดกับวัดชีปะขาว วัดป่าโมกวรวิหาร ได้ชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่งของประเทศไทย มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท 22.58 เมตร ก่ออิฐถือปูนปิดทอง องค์พระนี้สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย มีประวัติความเป็นมาที่น่าอัศจรรย์ มีเรื่องเล่าขานว่า พระองค์นี้ได้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัดราษฎร บวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ และวัดป่าโมกวรวิหารนี้เป็นหนึ่งในเจ็ดวัดพระใหญ่ที่อยู่ในจังหวัดอ่างทอง
วัดป่าโมกวรวิหาร นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์แล้ว ยังเป็นที่รวมของศิลปะและวัฒนธรรมที่สำคัญของไทย ภายในวัดมีโบสถ์ วิหาร และสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่สะท้อนถึงความงดงามของศิลปะไทยในหลายยุคสมัย วัดนี้ยังเป็นที่เคารพบูชาและเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวทางศาสนาสำหรับผู้คนจำนวนมาก ที่มานมัสการและชื่นชมความงามของพระพุทธรูปและสถาปัตยกรรมในวัด
นอกจากนี้ วัดป่าโมกวรวิหารยังมีบทบาทสำคัญในการศึกษาและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ด้วยการจัดงานประเพณีและกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ ซึ่งดึงดูดผู้คนมาเยี่ยมชมและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย วัดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาและความเชื่อมั่นทางศาสนา และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับนักศึกษาและนักวิจัยที่สนใจในเรื่องราวของศาสนาและศิลปะไทย
ในบันทึกของพระราชพงศาวดาร สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย ได้มีการจัดเตรียมการก่อนที่จะนำกองทัพไปรบกับพระมหาอุปราช ผู้เป็นศัตรู ในปี พ.ศ. 2269 พระองค์ได้เสด็จมาที่พื้นที่รวมพล และได้ทำพิธีบูชาพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้ดูแลการป้องกันการพังทลายของตลิ่งที่เกิดจากกระแสน้ำ โดยได้ย้ายองค์พระไปยังวิหารใหม่ที่วัดตลาด ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 168 เมตร พระองค์ได้ประกาศให้ทั้งสองวัดนี้รวมกันเป็นวัดเดียว และได้มีการตั้งชื่อว่า "วัดป่าโมก" ตามชื่อของต้นไม้ที่พบมากในบริเวณนั้น
ในตำนานอีกเรื่องหนึ่ง ในสมัยของพระจุลจอมเกล้า มีเรื่องเล่าว่ามีการระบาดของอหิวาตกโรคในบ้านป่าโมก พระรูปหนึ่งชื่อพระโต ได้ป่วยด้วยโรคนี้และไม่สามารถหายได้ด้วยการรักษาแบบปกติ ในขณะนั้น สีกาเหลียน ญาติของพระโต ได้ไปอธิษฐานต่อองค์พระนอนที่วัดป่าโมกวรวิหาร อย่างน่าประหลาดใจ เสียงตอบกลับได้ดังออกมาจากองค์พระนอน และบอกวิธีการทำยาเพื่อรักษาพระโต สีกาเหลียนจึงไปเก็บใบยาตามที่ได้รับแนะนำมา และนำมาปรุงเป็นยา ซึ่งทำให้พระโตหายจากโรคนั้น
วัดป่าโมกวรวิหารเป็นวัดที่มีความสำคัญและน่าสนใจอย่างมาก ด้วยความที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและความงดงามของสถาปัตยกรรม ภายในวัดนี้ประกอบไปด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างที่น่าชมหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น พระวิหารพระพุทธไสยาสน์วิหารเขียน ซึ่งเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุรูปปั้นพระพุทธรูปที่นอน แสดงถึงความเมตตาและความอ่อนโยน นอกจากนี้ยังมีมณฑปที่สวยงาม และพระพุทธบาท 4 รอย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายสำคัญในศาสนาพุทธ แต่ละส่วนของวัดล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และศาสนา ทำให้วัดป่าโมกวรวิหารนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรม แต่ยังเป็นที่สำหรับศึกษาและชื่นชมศิลปะและวัฒนธรรมไทยอีกด้วย
งานนมัสการพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือ ขึ้น 14 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำเดือน 4 ช่วงหนึ่ง และอีกช่วงหนึ่งระหว่างขึ้น 12 – 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี
วัดป่าโมกวรวิหาร ตั้งอยู่ที่เขตเทศบาลตำบลป่าโมก ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ห่างจากอำเภอไม่ไกล ในอดีต ที่นี่มีวัด 2 วัด ตั้งอยู่ติดกัน คือ วัดตลาดกับวัดชีปะขาว วัดป่าโมกวรวิหาร ได้ชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่งของประเทศไทย มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท 22.58 เมตร ก่ออิฐถือปูนปิดทอง องค์พระนี้สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย มีประวัติความเป็นมาที่น่าอัศจรรย์ มีเรื่องเล่าขานว่า พระองค์นี้ได้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัดราษฎร บวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ และวัดป่าโมกวรวิหารนี้เป็นหนึ่งในเจ็ดวัดพระใหญ่ที่อยู่ในจังหวัดอ่างทอง
วัดป่าโมกวรวิหาร นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์แล้ว ยังเป็นที่รวมของศิลปะและวัฒนธรรมที่สำคัญของไทย ภายในวัดมีโบสถ์ วิหาร และสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่สะท้อนถึงความงดงามของศิลปะไทยในหลายยุคสมัย วัดนี้ยังเป็นที่เคารพบูชาและเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวทางศาสนาสำหรับผู้คนจำนวนมาก ที่มานมัสการและชื่นชมความงามของพระพุทธรูปและสถาปัตยกรรมในวัด
นอกจากนี้ วัดป่าโมกวรวิหารยังมีบทบาทสำคัญในการศึกษาและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ด้วยการจัดงานประเพณีและกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ ซึ่งดึงดูดผู้คนมาเยี่ยมชมและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย วัดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาและความเชื่อมั่นทางศาสนา และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับนักศึกษาและนักวิจัยที่สนใจในเรื่องราวของศาสนาและศิลปะไทย
ในบันทึกของพระราชพงศาวดาร สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย ได้มีการจัดเตรียมการก่อนที่จะนำกองทัพไปรบกับพระมหาอุปราช ผู้เป็นศัตรู ในปี พ.ศ. 2269 พระองค์ได้เสด็จมาที่พื้นที่รวมพล และได้ทำพิธีบูชาพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้ดูแลการป้องกันการพังทลายของตลิ่งที่เกิดจากกระแสน้ำ โดยได้ย้ายองค์พระไปยังวิหารใหม่ที่วัดตลาด ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 168 เมตร พระองค์ได้ประกาศให้ทั้งสองวัดนี้รวมกันเป็นวัดเดียว และได้มีการตั้งชื่อว่า "วัดป่าโมก" ตามชื่อของต้นไม้ที่พบมากในบริเวณนั้น
ในตำนานอีกเรื่องหนึ่ง ในสมัยของพระจุลจอมเกล้า มีเรื่องเล่าว่ามีการระบาดของอหิวาตกโรคในบ้านป่าโมก พระรูปหนึ่งชื่อพระโต ได้ป่วยด้วยโรคนี้และไม่สามารถหายได้ด้วยการรักษาแบบปกติ ในขณะนั้น สีกาเหลียน ญาติของพระโต ได้ไปอธิษฐานต่อองค์พระนอนที่วัดป่าโมกวรวิหาร อย่างน่าประหลาดใจ เสียงตอบกลับได้ดังออกมาจากองค์พระนอน และบอกวิธีการทำยาเพื่อรักษาพระโต สีกาเหลียนจึงไปเก็บใบยาตามที่ได้รับแนะนำมา และนำมาปรุงเป็นยา ซึ่งทำให้พระโตหายจากโรคนั้น
วัดป่าโมกวรวิหารเป็นวัดที่มีความสำคัญและน่าสนใจอย่างมาก ด้วยความที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและความงดงามของสถาปัตยกรรม ภายในวัดนี้ประกอบไปด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างที่น่าชมหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น พระวิหารพระพุทธไสยาสน์วิหารเขียน ซึ่งเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุรูปปั้นพระพุทธรูปที่นอน แสดงถึงความเมตตาและความอ่อนโยน นอกจากนี้ยังมีมณฑปที่สวยงาม และพระพุทธบาท 4 รอย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายสำคัญในศาสนาพุทธ แต่ละส่วนของวัดล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และศาสนา ทำให้วัดป่าโมกวรวิหารนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรม แต่ยังเป็นที่สำหรับศึกษาและชื่นชมศิลปะและวัฒนธรรมไทยอีกด้วย
งานนมัสการพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือ ขึ้น 14 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำเดือน 4 ช่วงหนึ่ง และอีกช่วงหนึ่งระหว่างขึ้น 12 – 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี