พระธาตุจอมศรีเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ยุคประมาณปี พ.ศ. 2420 - 2430 พื้นที่นี้ได้รับความน่าสนใจจากพ่อใหญ่พระโบราณ ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น ท่านได้ยินข่าวว่า ลุ่มแม่น้ำหนองหานเป็นแหล่งที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รวมถึงทรัพยากรด้านอาหารอย่างข้าวและปลา
พระโบราณจึงมีประสงค์เดินทางมายังลุ่มแม่น้ำหนองหาน และนำพาช้าง 9 เชือกมาพร้อมกับท่าน โดยเป็นคนที่ได้สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน พระธาตุจอมศรี จนถึงวันนี้ ท่านได้เลี้ยงช้างเหล่านี้ที่ดงป่ายาง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนบ้านเหล่าแชแลหนองแวง แต่สุดท้ายช้างทั้ง 9 เชือกก็ได้สิ้นสุดชีวิตที่นี่
หลังจากนั้น พ่อใหญ่พระโบราณได้รับการยกย่องและเป็นที่รู้จักในพื้นที่ โดยท่านได้ทำการก่อตั้งบ้านแชแล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ พระครูสุวรรณธรรมชาดา เจ้าอาวาสวัดธาตุจอมศรี ในสมัยนั้น ท่านได้พบวัดร้างและเจดีย์ที่ถูกสร้างด้วยศิลาแลง (อิฐแดง) ซึ่งเป็นสภาพที่เรียบง่าย แต่ยังคงความงดงามของการสร้างศิลปะไทยไว้
ท่านจึงได้นำชาวบ้านมาช่วยกันบูรณะและเอาหลังคามาครอบเจดีย์ เพื่อรักษาและทำให้เจดีย์สามารถอยู่ได้ยาวนาน จนถึงปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านไป ชนรุ่นต่อๆ มาในพื้นที่ พระธาตุจอมศรี ได้รับการประสานงานและการบำรุงรักษาจากชุมชนอย่างต่อเนื่อง พระภิกษุยังมีการเดินทางมาจำพรรษาและช่วยกันบูรณะวัด เพื่อให้วัดธาตุจอมศรีคงอยู่ในสภาพที่ดีเสมอ และวันนี้ชาวบ้านยังรู้จักและเรียกวัดนี้ว่า "วัดนอก"
องค์พระธาตุจอมศรีเป็นสิ่งมีชีวิตที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างหนึ่ง ด้วยลักษณะของมันที่เก่าแก่และชำรุดทรุดโทรมมาก ที่สำคัญและเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ อิฐที่ฐานขององค์พระธาตุจอมศรีชำรุดและหลุดออกมาจนทำให้ฐานขององค์พระธาตุทั้งสี่ด้านเว้าเข้ามากพอสมควรและตัวองค์พระธาตุก็เอียงมาก จนเห็นได้ชัดเจน แต่องค์พระธาตุก็ไม่ล้มลง มีการสืบสานว่าองค์พระธาตุจอมศรีนี้เป็นมาลักษณะนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ
พระธาตุจอมศรีที่รายล้อมด้วยประวัติศาสตร์นี้ นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของศรัทธาและเคารพกราบแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งของคนในยุคสมัยขอมที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์พระธาตุในลักษณะนี้ และถึงแม้ว่าจะมีการชำรุดและเปลี่ยนแปลงมากมาย พระธาตุจอมศรีก็ยังยืนหยัดอยู่และไม่ล้มลง ซึ่งเป็นการแสดงถึงความแข็งแกร่งของศาสนาและวัฒนธรรมในยุคนั้น
ชาวบ้านแถบนี้มีความศรัทธาและความเชื่อที่แน่นแฟ้นในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระธาตุ และเฉพาะ "พระธาตุจอมศรี" ที่ได้รับความเคารพอย่างยิ่ง หากลูกหลานของพวกเขาไปทำงานต่างถิ่น หรือไปสอบบรรจุเข้าทำงานที่อื่น, พวกเขาจะมาบนบาลต่อองค์พระธาตุเพื่อขอพร นับว่าจะสมหวังทุกรายไป แต่ในทางตรงกันข้าม, หากผู้ใดมาหลบหลู่ พูดจาดูหมิ่น หรือกระทำสิ่งไม่ดีต่อพระธาตุ ความเชื่อเตือนว่าจะมีอันเป็นไปไม่ดี และเหตุการณ์ที่เคยมีผู้มาขุดเอาพระพุทธรูปใต้องค์พระธาตุกลับไปบ้าน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันความศักดิ์สิทธิ์นี้ ญาติพี่น้องจึงต้องรีบนำกลับมาคืนที่วัด
วัดแห่งนี้ ซึ่งมี "พระธาตุจอมศรี" เป็นสิ่งปลูกสร้างสำคัญ เป็นสถานที่จุดบั้งไฟที่ชาวบ้านแถบนี้ร่วมกันจัดงานบุญ โดยเฉพาะในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกปี จะมีผู้คนจากทั่วไปเข้ามาร่วมงานจำนวนมาก เพื่อเฉลิมฉลองและแสดงความเคารพต่อพระธาตุและพระธาตุจอมศรี
พระธาตุจอมศรีเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ยุคประมาณปี พ.ศ. 2420 - 2430 พื้นที่นี้ได้รับความน่าสนใจจากพ่อใหญ่พระโบราณ ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น ท่านได้ยินข่าวว่า ลุ่มแม่น้ำหนองหานเป็นแหล่งที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รวมถึงทรัพยากรด้านอาหารอย่างข้าวและปลา
พระโบราณจึงมีประสงค์เดินทางมายังลุ่มแม่น้ำหนองหาน และนำพาช้าง 9 เชือกมาพร้อมกับท่าน โดยเป็นคนที่ได้สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน พระธาตุจอมศรี จนถึงวันนี้ ท่านได้เลี้ยงช้างเหล่านี้ที่ดงป่ายาง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนบ้านเหล่าแชแลหนองแวง แต่สุดท้ายช้างทั้ง 9 เชือกก็ได้สิ้นสุดชีวิตที่นี่
หลังจากนั้น พ่อใหญ่พระโบราณได้รับการยกย่องและเป็นที่รู้จักในพื้นที่ โดยท่านได้ทำการก่อตั้งบ้านแชแล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ พระครูสุวรรณธรรมชาดา เจ้าอาวาสวัดธาตุจอมศรี ในสมัยนั้น ท่านได้พบวัดร้างและเจดีย์ที่ถูกสร้างด้วยศิลาแลง (อิฐแดง) ซึ่งเป็นสภาพที่เรียบง่าย แต่ยังคงความงดงามของการสร้างศิลปะไทยไว้
ท่านจึงได้นำชาวบ้านมาช่วยกันบูรณะและเอาหลังคามาครอบเจดีย์ เพื่อรักษาและทำให้เจดีย์สามารถอยู่ได้ยาวนาน จนถึงปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านไป ชนรุ่นต่อๆ มาในพื้นที่ พระธาตุจอมศรี ได้รับการประสานงานและการบำรุงรักษาจากชุมชนอย่างต่อเนื่อง พระภิกษุยังมีการเดินทางมาจำพรรษาและช่วยกันบูรณะวัด เพื่อให้วัดธาตุจอมศรีคงอยู่ในสภาพที่ดีเสมอ และวันนี้ชาวบ้านยังรู้จักและเรียกวัดนี้ว่า "วัดนอก"
องค์พระธาตุจอมศรีเป็นสิ่งมีชีวิตที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างหนึ่ง ด้วยลักษณะของมันที่เก่าแก่และชำรุดทรุดโทรมมาก ที่สำคัญและเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ อิฐที่ฐานขององค์พระธาตุจอมศรีชำรุดและหลุดออกมาจนทำให้ฐานขององค์พระธาตุทั้งสี่ด้านเว้าเข้ามากพอสมควรและตัวองค์พระธาตุก็เอียงมาก จนเห็นได้ชัดเจน แต่องค์พระธาตุก็ไม่ล้มลง มีการสืบสานว่าองค์พระธาตุจอมศรีนี้เป็นมาลักษณะนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ
พระธาตุจอมศรีที่รายล้อมด้วยประวัติศาสตร์นี้ นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของศรัทธาและเคารพกราบแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งของคนในยุคสมัยขอมที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์พระธาตุในลักษณะนี้ และถึงแม้ว่าจะมีการชำรุดและเปลี่ยนแปลงมากมาย พระธาตุจอมศรีก็ยังยืนหยัดอยู่และไม่ล้มลง ซึ่งเป็นการแสดงถึงความแข็งแกร่งของศาสนาและวัฒนธรรมในยุคนั้น
ชาวบ้านแถบนี้มีความศรัทธาและความเชื่อที่แน่นแฟ้นในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระธาตุ และเฉพาะ "พระธาตุจอมศรี" ที่ได้รับความเคารพอย่างยิ่ง หากลูกหลานของพวกเขาไปทำงานต่างถิ่น หรือไปสอบบรรจุเข้าทำงานที่อื่น, พวกเขาจะมาบนบาลต่อองค์พระธาตุเพื่อขอพร นับว่าจะสมหวังทุกรายไป แต่ในทางตรงกันข้าม, หากผู้ใดมาหลบหลู่ พูดจาดูหมิ่น หรือกระทำสิ่งไม่ดีต่อพระธาตุ ความเชื่อเตือนว่าจะมีอันเป็นไปไม่ดี และเหตุการณ์ที่เคยมีผู้มาขุดเอาพระพุทธรูปใต้องค์พระธาตุกลับไปบ้าน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันความศักดิ์สิทธิ์นี้ ญาติพี่น้องจึงต้องรีบนำกลับมาคืนที่วัด
วัดแห่งนี้ ซึ่งมี "พระธาตุจอมศรี" เป็นสิ่งปลูกสร้างสำคัญ เป็นสถานที่จุดบั้งไฟที่ชาวบ้านแถบนี้ร่วมกันจัดงานบุญ โดยเฉพาะในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกปี จะมีผู้คนจากทั่วไปเข้ามาร่วมงานจำนวนมาก เพื่อเฉลิมฉลองและแสดงความเคารพต่อพระธาตุและพระธาตุจอมศรี