วิมานพญาแถนเป็นสถานที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดยโสธร ซึ่งตั้งอยู่ในหัวใจของอำเภอเมืองยโสธร เมื่อเรามองจากระยะไกล เราจะสัมผัสถึงความงดงามและความโดดเด่นของอาคารที่มีรูปร่างเหมือนพญาคันคาก ตัวอาคารสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์การจัดแสดงวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ของจังหวัดยโสธร เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ต้องการทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่นี้
ยิ่งไปกว่านั้น วิมานพญาแถนมีความสูงถึง 19 เมตร ซึ่งเป็นการสะท้อนความสูงของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ภายในเนื้อที่ของวิมานพญาแถนนั้น เราจะพบกับสิ่งก่อสร้างและศิลปะที่เกี่ยวข้องกับตำนานบุญบั้งไฟของยโสธร สถานที่นี้ยังรวมไปถึงศิลปะประติมากรรมเกี่ยวกับขบวนแห่บั้งไฟ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถูกนำมาประดับและสะท้อนความเป็นมาของคนยโสธรในยุคสมัยที่แล้ว
ตามความเชื่อที่รากฐานมาจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอีสาน สิ่งที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีต่างๆ ถูกนับถืออย่างลึกซึ้ง ในส่วนของการเชื่อในโลกที่ประกอบไปด้วย โลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกบาดาล ซึ่งโลกมนุษย์นั้นอยู่ภายใต้ปกครองและอิทธิพลจากโลกเทวดา, หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "พญาแถน" พญาแถนนั้นมีอำนาจควบคุมธรรมชาติ เช่น ฝน, ฟ้า ลม และถ้าคนเราทำให้พญาแถนพอใจหรือประทับใจ พญาแถนก็จะทำให้ฝนตกตามฤดูกาล ประเพณีการบูชาพญาแถนด้วยบั้งไฟเป็นวิธีแสดงความเคารพและขอฝนจากพญาแถน ซึ่งมาแต่ยุคโบราณ และเป็นที่มาของประเพณีบุญบั้งไฟที่จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ตามตำนานที่ได้รับการส่งเสริมในวัฒนธรรม พระพุทธเจ้าในชาติก่อนๆ เคยเกิดเป็นเจ้าชายที่มีชื่อว่าคางคก หรือพระยาคันคาก ท่านมีรูปร่างและผิวพรรณที่แปลกตาแต่ก็สวยงามดุจทองคำ ถึงแม้ท่านจะมีรูปร่างดังกล่าว แต่ท่านยังคงมีจิตใจที่มีเมตตาและปราณีต่อทุกสิ่งมีชีวิต อย่างไรก็ดี พระยาแถนเนื่องจากความรู้สึกของความอิจฉา ต่อการที่คนรับประทานเคารพต่อพระยาคันคากมากยิ่งขึ้น ได้ตัดสินใจไม่ให้ฝนตกลงบนโลกมนุษย์เป็นเวลานาน ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของการต่อสู้กับพระยาแถนเกิดขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่งเจ้าชายคางคกได้วางแผนการต่อสู้เพื่อป้องกันและพิทักษ์โลกมนุษย์ โดยใช้เทคนิคและกลยุทธ์ต่างๆ ท้ายที่สุดก็สามารถพิชิตพระยาแถนและจัดทำข้อตกลงซึ่งรวมถึงการจุดบั้งไฟในเดือน 6 เพื่อแจ้งให้พระยาแถนทราบถึงเวลาให้ฝนตก รวมไปถึงการใช้เสียงของกบและเสียงเป่าโวตเป็นสัญญาณในการแจ้งฤดูกาลต่างๆ ของการปลูกเก็บเกี่ยวข้าวในโลกมนุษย์
วิมานพญาแถนเป็นสถานที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดยโสธร ซึ่งตั้งอยู่ในหัวใจของอำเภอเมืองยโสธร เมื่อเรามองจากระยะไกล เราจะสัมผัสถึงความงดงามและความโดดเด่นของอาคารที่มีรูปร่างเหมือนพญาคันคาก ตัวอาคารสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์การจัดแสดงวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ของจังหวัดยโสธร เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ต้องการทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่นี้
ยิ่งไปกว่านั้น วิมานพญาแถนมีความสูงถึง 19 เมตร ซึ่งเป็นการสะท้อนความสูงของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ภายในเนื้อที่ของวิมานพญาแถนนั้น เราจะพบกับสิ่งก่อสร้างและศิลปะที่เกี่ยวข้องกับตำนานบุญบั้งไฟของยโสธร สถานที่นี้ยังรวมไปถึงศิลปะประติมากรรมเกี่ยวกับขบวนแห่บั้งไฟ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถูกนำมาประดับและสะท้อนความเป็นมาของคนยโสธรในยุคสมัยที่แล้ว
ตามความเชื่อที่รากฐานมาจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอีสาน สิ่งที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีต่างๆ ถูกนับถืออย่างลึกซึ้ง ในส่วนของการเชื่อในโลกที่ประกอบไปด้วย โลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกบาดาล ซึ่งโลกมนุษย์นั้นอยู่ภายใต้ปกครองและอิทธิพลจากโลกเทวดา, หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "พญาแถน" พญาแถนนั้นมีอำนาจควบคุมธรรมชาติ เช่น ฝน, ฟ้า ลม และถ้าคนเราทำให้พญาแถนพอใจหรือประทับใจ พญาแถนก็จะทำให้ฝนตกตามฤดูกาล ประเพณีการบูชาพญาแถนด้วยบั้งไฟเป็นวิธีแสดงความเคารพและขอฝนจากพญาแถน ซึ่งมาแต่ยุคโบราณ และเป็นที่มาของประเพณีบุญบั้งไฟที่จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ตามตำนานที่ได้รับการส่งเสริมในวัฒนธรรม พระพุทธเจ้าในชาติก่อนๆ เคยเกิดเป็นเจ้าชายที่มีชื่อว่าคางคก หรือพระยาคันคาก ท่านมีรูปร่างและผิวพรรณที่แปลกตาแต่ก็สวยงามดุจทองคำ ถึงแม้ท่านจะมีรูปร่างดังกล่าว แต่ท่านยังคงมีจิตใจที่มีเมตตาและปราณีต่อทุกสิ่งมีชีวิต อย่างไรก็ดี พระยาแถนเนื่องจากความรู้สึกของความอิจฉา ต่อการที่คนรับประทานเคารพต่อพระยาคันคากมากยิ่งขึ้น ได้ตัดสินใจไม่ให้ฝนตกลงบนโลกมนุษย์เป็นเวลานาน ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของการต่อสู้กับพระยาแถนเกิดขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่งเจ้าชายคางคกได้วางแผนการต่อสู้เพื่อป้องกันและพิทักษ์โลกมนุษย์ โดยใช้เทคนิคและกลยุทธ์ต่างๆ ท้ายที่สุดก็สามารถพิชิตพระยาแถนและจัดทำข้อตกลงซึ่งรวมถึงการจุดบั้งไฟในเดือน 6 เพื่อแจ้งให้พระยาแถนทราบถึงเวลาให้ฝนตก รวมไปถึงการใช้เสียงของกบและเสียงเป่าโวตเป็นสัญญาณในการแจ้งฤดูกาลต่างๆ ของการปลูกเก็บเกี่ยวข้าวในโลกมนุษย์