วัดประดู่พัฒนาราม หรือที่เรียกในชื่อย่อๆ ว่า วัดประดู่ หรือแม้กระทั่ง "วดโด นั้นตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช รู้จักกันเป็นหนึ่งในวัดสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และเป็นจุดเด่นทางวัฒนธรรมของจังหวัดนี้
วัดประดู่ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ซึ่งอยู่ใกล้สนามกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพื้นที่สะอาด และมีศิลปะการตกแต่งที่สวยงาม แทรกเข้าไประหว่างศาลาและเจดีย์ต่างๆ คือต้นไม้สายสนธิ์และต้นไม้หายาก ที่เติบโตมานานมาก ความเก่าแก่ของวัดประดู่ยืนยันถึงความสำคัญในประวัติศาสตร์และความศักดิ์สิทธิ์
เรื่องราวเกี่ยวกับวัดประดู่มีอีกหลายตำนาน ที่สำคัญที่สุดคือการที่กล่าวกันว่าเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) แต่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวนี้เท่านั้นที่ทำให้วัดประดู่มีชื่อเสียง มีผู้รู้บางท่านที่ยืนยันว่าบัวองค์นี้เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิเจ้าพระยานคร (น้อย) ผู้เป็นบิดาของเขา และอัฐิสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ผู้เป็นปู่ ซึ่งเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) ได้แบ่งมาจากวัดอินทาราม ธนบุรี
เมื่อพูดถึงวัดประดู่ คือการพูดถึงความศักดิ์สิทธิ์และความฮือฮาในความเชื่อของชาวนครศรีธรรมราช และตำนานต่างๆ ที่ยังคงถูกเล่าเรียนร้อยไปจนถึงวันนี้
เก๋งจีนที่ตั้งอยู่ภายในวัดประดู่ ประกอบด้วยส่วนหลักที่เป็นอาคารแนวยาว มีหันหน้าไปทางทิศใต้ และด้านผนังก่อด้วยอิฐถือปูนซึ่งทำให้แข็งแรง ผนังส่วนใหญ่เป็นผนังทึบ ยกเว้นด้านหน้าที่เป็นจุดเด่นด้วยเครื่องไม้แกะสลักลวดลายซับซ้อน หลายๆ ลายบนเครื่องไม้นั้นประกอบด้วยรูปภาพของมังกรคู่ ฉลุลวดลายสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนรูปหงส์ร่อน, ไก่ฟ้าทองคำ, นกกระเรียนขาว และยังมีลายพรรณพฤกษาและดอกโบตั๋น เพิ่มเติม รายละเอียดที่คานและเสาเหล่านี้เกิดจากการเลื่อมซ้อนกันอย่างประณีตโดยใช้ตะปูไม้เป็นตัวยึด การแกะสลักนั้นก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะที่เครื่องไม้เท่านั้น แต่ยังมีการแกะสลักลายบัวหลวงบนด้านข้างของเก๋งด้วย
ภายในเก๋งที่วัดประดู่ มีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ 12 ปิดทอง ที่มีขนาดฐานกว้าง 1.70 เมตร และสูงถึง 3.10 เมตร เวลามองจากด้านล่างขึ้นไปจะเห็นฐานสิงห์ที่สร้างมาอย่างประณีต และยังมีฐานบัวซ้อนกันขึ้นไปอีก 2 ชั้น ที่แต่งด้วยลายปูนปั้นบัวคว่ำและบัวหงาย ในส่วนยอดของเจดีย์เป็นดอกบัวตูมที่แกะสลักอย่างละเอียดและประดับด้วยกระจกสีบนพื้นสีแดง ทุกส่วนของเก๋งที่วัดประดู่นี้ ทั้งโครงสร้างและลายแกะสลัก ก็สะท้อนถึงศิลปะและวัฒนธรรมของคนในยุคนั้น และเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของวัดประดู่ในการรักษาศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
บทความเรื่องเก๋งจีน วัดประดู่พัฒนาราม หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่าเก๋งจีนพระเจ้าตาก มีประวัติที่ยาวนานและมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับประวัติศาสตร์ของนครศรีธรรมราช และสืบเนื่องมาจากความเชื่อมโยงกับพระราชวงศ์ในยุคนั้น
เก๋งจีนนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2385 โดยคุณภาพการสร้างและรายละเอียดต่างๆ แสดงให้เห็นถึงศิลปะและความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของช่วงเวลานั้น ผู้ที่รับผิดชอบในการสร้างเก๋งจีนนี้คือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้ที่มีความสัมพันธ์เป็นโอรสกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเจ้าจอมมารดาปราง
วัดประดู่ ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ฝังเอาพระอัฐิของผู้ว่าราชการชั้นสูงและพระราชวงศ์ ซึ่งในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ที่วัดประดู่นี้ได้รับเกียรติให้บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระอัฐิของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ซึ่งเป็นพระอัฐิของท่านบิดา เข้าไปในบัวทรงเจดีย์องค์เดียวกัน ทำให้วัดประดู่มีความเป็นมาและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมากสำหรับภูมิภาคนี้
วัดประดู่พัฒนาราม หรือที่เรียกในชื่อย่อๆ ว่า วัดประดู่ หรือแม้กระทั่ง "วดโด นั้นตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช รู้จักกันเป็นหนึ่งในวัดสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และเป็นจุดเด่นทางวัฒนธรรมของจังหวัดนี้
วัดประดู่ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ซึ่งอยู่ใกล้สนามกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพื้นที่สะอาด และมีศิลปะการตกแต่งที่สวยงาม แทรกเข้าไประหว่างศาลาและเจดีย์ต่างๆ คือต้นไม้สายสนธิ์และต้นไม้หายาก ที่เติบโตมานานมาก ความเก่าแก่ของวัดประดู่ยืนยันถึงความสำคัญในประวัติศาสตร์และความศักดิ์สิทธิ์
เรื่องราวเกี่ยวกับวัดประดู่มีอีกหลายตำนาน ที่สำคัญที่สุดคือการที่กล่าวกันว่าเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) แต่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวนี้เท่านั้นที่ทำให้วัดประดู่มีชื่อเสียง มีผู้รู้บางท่านที่ยืนยันว่าบัวองค์นี้เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิเจ้าพระยานคร (น้อย) ผู้เป็นบิดาของเขา และอัฐิสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ผู้เป็นปู่ ซึ่งเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) ได้แบ่งมาจากวัดอินทาราม ธนบุรี
เมื่อพูดถึงวัดประดู่ คือการพูดถึงความศักดิ์สิทธิ์และความฮือฮาในความเชื่อของชาวนครศรีธรรมราช และตำนานต่างๆ ที่ยังคงถูกเล่าเรียนร้อยไปจนถึงวันนี้
เก๋งจีนที่ตั้งอยู่ภายในวัดประดู่ ประกอบด้วยส่วนหลักที่เป็นอาคารแนวยาว มีหันหน้าไปทางทิศใต้ และด้านผนังก่อด้วยอิฐถือปูนซึ่งทำให้แข็งแรง ผนังส่วนใหญ่เป็นผนังทึบ ยกเว้นด้านหน้าที่เป็นจุดเด่นด้วยเครื่องไม้แกะสลักลวดลายซับซ้อน หลายๆ ลายบนเครื่องไม้นั้นประกอบด้วยรูปภาพของมังกรคู่ ฉลุลวดลายสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนรูปหงส์ร่อน, ไก่ฟ้าทองคำ, นกกระเรียนขาว และยังมีลายพรรณพฤกษาและดอกโบตั๋น เพิ่มเติม รายละเอียดที่คานและเสาเหล่านี้เกิดจากการเลื่อมซ้อนกันอย่างประณีตโดยใช้ตะปูไม้เป็นตัวยึด การแกะสลักนั้นก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะที่เครื่องไม้เท่านั้น แต่ยังมีการแกะสลักลายบัวหลวงบนด้านข้างของเก๋งด้วย
ภายในเก๋งที่วัดประดู่ มีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ 12 ปิดทอง ที่มีขนาดฐานกว้าง 1.70 เมตร และสูงถึง 3.10 เมตร เวลามองจากด้านล่างขึ้นไปจะเห็นฐานสิงห์ที่สร้างมาอย่างประณีต และยังมีฐานบัวซ้อนกันขึ้นไปอีก 2 ชั้น ที่แต่งด้วยลายปูนปั้นบัวคว่ำและบัวหงาย ในส่วนยอดของเจดีย์เป็นดอกบัวตูมที่แกะสลักอย่างละเอียดและประดับด้วยกระจกสีบนพื้นสีแดง ทุกส่วนของเก๋งที่วัดประดู่นี้ ทั้งโครงสร้างและลายแกะสลัก ก็สะท้อนถึงศิลปะและวัฒนธรรมของคนในยุคนั้น และเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของวัดประดู่ในการรักษาศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
บทความเรื่องเก๋งจีน วัดประดู่พัฒนาราม หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่าเก๋งจีนพระเจ้าตาก มีประวัติที่ยาวนานและมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับประวัติศาสตร์ของนครศรีธรรมราช และสืบเนื่องมาจากความเชื่อมโยงกับพระราชวงศ์ในยุคนั้น
เก๋งจีนนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2385 โดยคุณภาพการสร้างและรายละเอียดต่างๆ แสดงให้เห็นถึงศิลปะและความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของช่วงเวลานั้น ผู้ที่รับผิดชอบในการสร้างเก๋งจีนนี้คือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้ที่มีความสัมพันธ์เป็นโอรสกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเจ้าจอมมารดาปราง
วัดประดู่ ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ฝังเอาพระอัฐิของผู้ว่าราชการชั้นสูงและพระราชวงศ์ ซึ่งในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ที่วัดประดู่นี้ได้รับเกียรติให้บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระอัฐิของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ซึ่งเป็นพระอัฐิของท่านบิดา เข้าไปในบัวทรงเจดีย์องค์เดียวกัน ทำให้วัดประดู่มีความเป็นมาและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมากสำหรับภูมิภาคนี้