วัดวังตะวันตก คือสถานที่ประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญอยู่ที่ริมถนนราชดำเนิน มันเป็นสถานที่ที่มีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ จุดที่ตั้งของวัดวังตะวันตกถูกเลือกมาอยู่ในบริเวณที่เชื่อว่าตรงข้ามกับวังตะวันออก ซึ่งเป็นนิวาสสถานของเจ้าจอมปราง
ต้นแบบของสถานที่นี้ในยุคก่อนหน้านั้นเป็นอุทยาน ซึ่งใช้เป็นพื้นที่ส่วนรวมสำหรับประชาชนและกิจกรรมต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการพื้นที่และการพัฒนาเมืองทำให้เจ้าพระนคร (น้อย) ได้ทำการยกฐานะของวังตะวันออกเป็นวัดและในทำนองเดียวกัน อุทยานที่ตรงข้ามนี้ก็ได้รับการยกฐานะเป็นวัดวังตะวันตก
สถานที่นี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาและประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของกรุงเทพฯ ในหลายๆ ยุค วัดวังตะวันตกและวังตะวันออกเป็นตัวอย่างที่ดีของการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศไทย
วัดวังตะวันตกมีประวัติที่สำคัญและน่าสนใจ สถานที่นี้เดิมๆ เป็นป่าขี้แรดที่ถูกนำมาใช้สำหรับการค้างศพของชาวเมือง ผ่านทางประตูผีซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมือง ศพของผู้ถึงแก่กรรมนั้นถูกขนมาด้วยเรือผ่านคลองท้ายวังเขาคลองทา แล้วเอามาวางที่ป่าขี้แรดดังกล่าว แต่พอเวลาผ่านไป ประเพณีการค้างศพไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป ทำให้ป่าขี้แรดนั้นกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และบริเวณนี้ถูกใช้เป็นบ้านตากแดด โดยเป็นสถานที่ที่ปล่อยให้แดดฉายเพื่อทำการฆ่าเชื้อ และไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่
ความว่างเปล่าของบริเวณนี้ถูกเจ้าจอมปราง ซึ่งชาวบ้านรู้จักในนามแม่นางเมืองหรือแม่วัง เห็นและเริ่มมีแนวคิดในการนำมาใช้ประโยชน์ เนื่องจากมันอยู่ใกล้กับวังของเธอ ความคิดนี้จึงถูกนำไปสู่การแปลงที่ว่างนั้นเป็นอุทยานเพื่อเป็นที่พักผ่อนของเจ้าพระยานคร (น้อย) และเจ้าพระยานคร (พัด) ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้แปลงป่าขี้แรดในวัดวังตะวันตกให้เป็นอุทยาน
ครั้นเมื่อถึงยุคของเจ้าพระยานคร (น้อย) ที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เขาก็ต้องรับภาระในการจัดการพระศพของเจ้าจอมมารดาปราง เขาเลือกอุทยานที่ได้รับการปรับปรุงเป็นวัดวังตะวันออก เป็นที่ฌาปนกิจศพ ในขณะเดียวกัน เขาได้ดำเนินการเปลี่ยนสภาพอุทยานนั้นให้กลายเป็นวัดอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งวัดนี้จึงได้รับการตั้งชื่อว่า "วัดวังตะวันตก"
ในปี พ.ศ.2380 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้ริเริ่มการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้ของบริเวณวัด และวัดนี้เรียกว่า "วัดวังตะวันตก" พระพุทธรูปนี้ถูกสร้างบนเนินดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน และถูกขึ้นชื่อว่า "พระศรีธรรมโศกราช" รูปปั้นนี้เป็นการเฉลิมฉลองและเกียรติยศของผู้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และคนในท้องถิ่นมักนิยมเรียกว่า "พระสูง" ในปี พ.ศ.2515 คนในชุมชนได้ร่วมมือกันสร้างวิหารคลุมรูปปั้นเพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์
วัดวังตะวันตก นอกจากจะมีพระพุทธรูปสูงยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีกุฏิทรงไทยที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ กุฏินี้มีลักษณะเป็นหมู่เรือนไทยสร้างด้วยไม้ ซึ่งประกอบด้วยเรือนสร้างสับ 3 หลัง และมีหลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออก ลวดลายแกะสลักไม้ตามต่างๆ เช่น บุคคลที่มีปีก ลายพรรณพฤกษา และหัวบุคคลที่มีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ ทั้งนี้ทำให้กุฏิมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่ง ส่วนเรือนอื่น 2 หลังเป็นปีกยกพื้นสูง ในทิศตะวันตกของวัดวังตะวันตก เราจะพบเรือนครัวซึ่งถูกย้ายมายืนอยู่ใกล้กุฏิ และใต้กุฏิยังมีชานเรือนทำด้วยปูนซิเมนต์เพื่อเชื่อมกันกับเรือนครัว จากการร่วมมือของชุมชนในการอนุรักษ์และสร้างสรรค์ วัดวังตะวันตกกลายเป็นสถานที่สำคัญและมีความหมายสูงส่งในจิตใจของประชาชน
วัดวังตะวันตก คือสถานที่ประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญอยู่ที่ริมถนนราชดำเนิน มันเป็นสถานที่ที่มีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ จุดที่ตั้งของวัดวังตะวันตกถูกเลือกมาอยู่ในบริเวณที่เชื่อว่าตรงข้ามกับวังตะวันออก ซึ่งเป็นนิวาสสถานของเจ้าจอมปราง
ต้นแบบของสถานที่นี้ในยุคก่อนหน้านั้นเป็นอุทยาน ซึ่งใช้เป็นพื้นที่ส่วนรวมสำหรับประชาชนและกิจกรรมต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการพื้นที่และการพัฒนาเมืองทำให้เจ้าพระนคร (น้อย) ได้ทำการยกฐานะของวังตะวันออกเป็นวัดและในทำนองเดียวกัน อุทยานที่ตรงข้ามนี้ก็ได้รับการยกฐานะเป็นวัดวังตะวันตก
สถานที่นี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาและประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของกรุงเทพฯ ในหลายๆ ยุค วัดวังตะวันตกและวังตะวันออกเป็นตัวอย่างที่ดีของการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศไทย
วัดวังตะวันตกมีประวัติที่สำคัญและน่าสนใจ สถานที่นี้เดิมๆ เป็นป่าขี้แรดที่ถูกนำมาใช้สำหรับการค้างศพของชาวเมือง ผ่านทางประตูผีซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมือง ศพของผู้ถึงแก่กรรมนั้นถูกขนมาด้วยเรือผ่านคลองท้ายวังเขาคลองทา แล้วเอามาวางที่ป่าขี้แรดดังกล่าว แต่พอเวลาผ่านไป ประเพณีการค้างศพไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป ทำให้ป่าขี้แรดนั้นกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และบริเวณนี้ถูกใช้เป็นบ้านตากแดด โดยเป็นสถานที่ที่ปล่อยให้แดดฉายเพื่อทำการฆ่าเชื้อ และไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่
ความว่างเปล่าของบริเวณนี้ถูกเจ้าจอมปราง ซึ่งชาวบ้านรู้จักในนามแม่นางเมืองหรือแม่วัง เห็นและเริ่มมีแนวคิดในการนำมาใช้ประโยชน์ เนื่องจากมันอยู่ใกล้กับวังของเธอ ความคิดนี้จึงถูกนำไปสู่การแปลงที่ว่างนั้นเป็นอุทยานเพื่อเป็นที่พักผ่อนของเจ้าพระยานคร (น้อย) และเจ้าพระยานคร (พัด) ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้แปลงป่าขี้แรดในวัดวังตะวันตกให้เป็นอุทยาน
ครั้นเมื่อถึงยุคของเจ้าพระยานคร (น้อย) ที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เขาก็ต้องรับภาระในการจัดการพระศพของเจ้าจอมมารดาปราง เขาเลือกอุทยานที่ได้รับการปรับปรุงเป็นวัดวังตะวันออก เป็นที่ฌาปนกิจศพ ในขณะเดียวกัน เขาได้ดำเนินการเปลี่ยนสภาพอุทยานนั้นให้กลายเป็นวัดอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งวัดนี้จึงได้รับการตั้งชื่อว่า "วัดวังตะวันตก"
ในปี พ.ศ.2380 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้ริเริ่มการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้ของบริเวณวัด และวัดนี้เรียกว่า "วัดวังตะวันตก" พระพุทธรูปนี้ถูกสร้างบนเนินดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน และถูกขึ้นชื่อว่า "พระศรีธรรมโศกราช" รูปปั้นนี้เป็นการเฉลิมฉลองและเกียรติยศของผู้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และคนในท้องถิ่นมักนิยมเรียกว่า "พระสูง" ในปี พ.ศ.2515 คนในชุมชนได้ร่วมมือกันสร้างวิหารคลุมรูปปั้นเพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์
วัดวังตะวันตก นอกจากจะมีพระพุทธรูปสูงยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีกุฏิทรงไทยที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ กุฏินี้มีลักษณะเป็นหมู่เรือนไทยสร้างด้วยไม้ ซึ่งประกอบด้วยเรือนสร้างสับ 3 หลัง และมีหลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออก ลวดลายแกะสลักไม้ตามต่างๆ เช่น บุคคลที่มีปีก ลายพรรณพฤกษา และหัวบุคคลที่มีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ ทั้งนี้ทำให้กุฏิมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่ง ส่วนเรือนอื่น 2 หลังเป็นปีกยกพื้นสูง ในทิศตะวันตกของวัดวังตะวันตก เราจะพบเรือนครัวซึ่งถูกย้ายมายืนอยู่ใกล้กุฏิ และใต้กุฏิยังมีชานเรือนทำด้วยปูนซิเมนต์เพื่อเชื่อมกันกับเรือนครัว จากการร่วมมือของชุมชนในการอนุรักษ์และสร้างสรรค์ วัดวังตะวันตกกลายเป็นสถานที่สำคัญและมีความหมายสูงส่งในจิตใจของประชาชน