ศาลหลักเมืองสุรินทร์ ตั้งอยู่บนถนนหลักเมืองและตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ ไม่ไกลนัก ในปี พ.ศ. 2511 กรมศิลปากรได้ดำเนินการออกแบบศาลหลักเมืองใหม่สำหรับจังหวัดนี้ ส่วนเสาหลักเมืองนั้นทำจากไม้ชัยพฤกษ์ ซึ่งเป็นไม้ที่มีคุณค่าและถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ไม้ชัยพฤกษ์ที่ใช้สร้างเสาหลักเมืองได้มาจากการบริจาคของนายประสิทธิ์ มณีกาญจน์ ซึ่งเป็นราษฎรแห่งอำเภอไทรโยคในจังหวัดกาญจนบุรี เสาหลักเมืองมีความสูงถึง 3 เมตรและวัดรอบเสาก็มีความกว้างประมาณ 1 เมตร วันที่ 15 มีนาคม 2517 เป็นวันที่มีพิธียกเสาหลักเมืองและมีการสมโภชตามประเพณี
ศาลหลักเมืองสุรินทร์ ในสมัยก่อนไม่เคยมีเสาหลักเมือง แม้จะยังไม่มีเสาหลักเมือง แต่ศาลนี้ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพบูชาในหมู่ชาวสุรินทร์มาแล้วนานกว่า 100 ปี ด้วยความศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ จึงมีการขอให้กรมศิลปากรออกแบบสร้างศาลหลักเมืองใหม่ในปี พ.ศ. 2511 และเสาหลักเมืองที่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่นั้นมีการแกะสลักตกแต่งด้วยช่างฝีมือจากกรมศิลปากร เมื่อถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เกียรติประกอบพิธีเจิมเสาหลักเมือง ณ ตำหนักจิตรลดารโหฐานในพระราชวังดุสิต ในโอกาสนี้ พระองค์ทรงให้ดำรัสว่าการสร้างเสาหลักเมืองใหม่นี้นั้นมีความหมายสำคัญ เป็นหลักประจำเมือง และเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี พระองค์ทรงขอให้ชาวสุรินทร์มีความสามัคคีกันเสมอ ทำให้จังหวัดมีความเจริญรุ่งเรือง และให้ชีวิตของประชาชนสุรินทร์เต็มไปด้วยความสุขและความสงบเรียบร้อย
ในเวลาก่อนหน้านี้, มีเรื่องราวเล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณหนึ่งได้พบเจอถนนคอนกรีตที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ศาลเมือง. น่าสนใจที่ถนนคอนกรีตดังกล่าวมีรอยแตกที่ดูเป็นลักษณะเด่น และยกตัวขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีรถยนต์วิ่งผ่านจึงไม่ค่อยสะดวก และบางครั้งก็อาจทำให้เครื่องยนต์ดับ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากรอยแตกและการยกตัวของถนนคอนกรีตจนสามารถมองเห็นช่องว่างหรือโพรงในตอนล่างที่กว้างขวางและชัดเจน ขณะที่ชาวบ้านบางคนกำลังสงสัยและลองเอามือล้วงเข้าไปในโพรงนั้น, พวกเขาบอกว่ารู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นที่นั่น และเมื่อได้ขุดเข้าไป, พวกเขาได้พบกับพระพุทธรูปนาคปรกที่ซ่อนอยู่ใต้โพรงนั้น
ภายหลัง ชาวบ้านก็ได้ทำการขุดค้นในบริเวณใกล้เคียงและพบเจอวัตถุโบราณหลายชิ้น รวมถึงเครื่องลางที่มีรูปลายของพญานาคทำด้วยทองเหลือง, เครื่องลางที่แสดงรูปของพระนารายณ์และพระนางลักษมี พร้อมกับพระพิฆเณศทำด้วยทองเหลืองกำลังแข่งขันกันอยู่ในภาพกลาง, ตำนานพระเครื่องดินเผา และกำไลโบราณจำนวนมากที่มีอายุประมาณ 200 ปี เมื่อทำการขุดต่อไปก็ได้พบภาชนะดินเผาที่เชื่อว่ามีการสร้างขึ้นในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุราว 1,500 - 2,000 ปี
การค้นพบเหล่านี้ได้ทำให้ข่าวลือกระจายไปทั่ว และเกิดความฮือฮาในหมู่ชาวบ้าน จนกระทั่งชาวบ้านได้นำพระพุทธรูปนั้นและวัตถุโบราณต่างๆ มาวางในศาลหลักเมืองในบริเวณใกล้เคียงเพื่อบูชาและรำลึกถึงความประวัติศาสตร์ของพวกเขา