วัดท่าขนุน

วัดท่าขนุน_01

          วัดท่าขนุนเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์และความหมายที่สำคัญต่อชุมชนตำบลท่าขนุน ในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตำแหน่งของวัดท่าขนุนนี้ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเมืองด่านท่าขนุนในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

ประวัติความเป็นมาของวัดท่าขนุน

          เมื่อย้อนยุคกลับไปในอดีต สมัยนั้นการเดินทางส่วนมากจะเน้นการใช้เรือในการสัญจร โดยล่องเรือตามลำน้ำแควน้อย และที่ตั้งของเมืองด่านท่าขนุน ก็เป็นท่าเรือที่คนท้องถิ่นเลือกใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน ความพิเศษของท่าเรือนี้คือมีต้นขนุนอยู่หลายต้นที่ริมแม่น้ำ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของท่าเรือนี้ และเนื่องจากความโดดเด่นของต้นขนุนเหล่านี้ ชุมชนจึงมักเรียกท่าเรือนี้ว่า "ท่าขนุน" และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อวัดท่าขนุน ที่เรารู้จักในปัจจุบัน โดยมีชื่อเสียงที่ดังกังวานเป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่นตั้งแต่นั้นมา

วัดท่าขนุน_02

วัดท่าขนุน_03

หนังสือนิราศท่าดินแดงที่พูดถึงวัดท่าขนุน

          ในหนังสือนิราศท่าดินแดง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2329 อธิบายถึงการเสด็จไปทำศึกกับพม่าซึ่งยกมารุกรานไทยที่ท่าดินแดง ในหนังสือนี้ยังมีการพรรณนาถึงวัดท่าขนุน ซึ่งเป็นอีกสถานที่สำคัญ ณ ท้องถิ่นนั้น โดยการทรงยกทัพไปนั้น พระองค์ได้เดินทางพร้อมกับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และขบวนเรือที่ทรงนำพาออกจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองไทรโยค หลังจากนั้น ทรงประสานทัพเพื่อเดินทางทางบกต่อไป เพื่อต่อสู้และป้องกันแผ่นดินของชาติ

          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง ในขณะเดียวกัน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงกำหนดค่ายการรบที่ตำบลสามสบ และทั้งสองทัพได้เริ่มการรบพร้อมกันในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2329 ซึ่งการปะทะกันนั้นยืดยาวถึงสามวัน จนถึงวันที่ 23 ในช่วงบ่าย ฝ่ายไทยทรงเป็นฝ่ายชนะ ได้บุกเข้าค่ายพม่า จนพม่าต้องทิ้งค่ายและหนีฉุกเฉิน

          เหตุการณ์การรบในวันนั้นก่อให้พม่ารู้สึกประหม่าขณะกลับค่าย ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลแม่กษัตริย์ พระมหาอุปราชฯ เมื่อยินดีว่ากองทัพของตนหน้าแตก จึงเลือกที่จะเบียดเสียดจากสนามรบ ผลักดันให้กองทัพพม่าต้องละทิ้งอาวุธและยุทโธปกรณ์หลายอย่าง โดยเฉพาะปืนใหญ่ที่ไม่สามารถลากกลับไปได้

          จากการบุกเข้าค่ายพม่าที่ท่าดินแดง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้สั่งให้ทัพยกเคลื่อนที่ไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งในวันนั้นเรียกว่าเมืองปากแพรก ก่อนที่จะยกทัพเรือเดินทางไปถึงเมืองไทรโยค และต่อมาทรงเปลี่ยนเป็นทัพบก โดยตั้งค่ายที่วัดท่าขนุน พร้อมกับคาดการณ์การตีกองทัพพม่าอีกครั้งที่ท่าดินแดง ทำให้การประชันกับพม่าในครั้งนั้นมีความรุนแรงและสำคัญมากในประวัติศาสตร์ไทย

วัดท่าขนุน_04

วัดท่าขนุน_05

เรื่องราวของวัดท่าขนุน

          ในยุคของรัชกาลที่ 1 ท่าขนุนเป็นหนึ่งในเมืองหน้าด่านที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยค่านิยมของชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นมอญ, พม่า, ไทย หรือลาว มักมีความเชื่อว่าทุกบ้านควรมีวัดที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อให้ประชาชนมีที่ไปบวช บูชา และศึกษาธรรม ดังนั้น, ในท่าขนุนย่อมมีวัดท่าขนุนอยู่แน่นอน เราสามารถทำความเข้าใจได้ว่าการก่อตั้งวัดท่าขนุนต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว แม้กระนั้น หลักฐานที่แน่นอนมากเกินกว่าการกล่าวถึงในเอกสารประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ยังขาดหายไป

          เรื่องราวของวัดท่าขนุนได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อครั้งที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรประพันธรำไพ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา สองพระราชธิดาจากรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จมาประพาสป่าทองผาภูมิ เมื่อสัมผัสกับธรรมชาติของป่าทองผาภูมิ ทั้งสองพระองค์ได้รับความประทับใจจึงเสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้พระองค์ได้ทูลขอพระราชทานพระพุทธรูปรัชกาล ขนาดหน้าตักประมาณ 1 ศอก 2 องค์ และธรรมาสน์ทรงบุษบกฝีมือช่างหลวง จากรัชกาลที่ 7 มาถวายแก่หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล เจ้าอาวาสของวัดท่าขนุน เมื่อ พ.ศ. 2472

          หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล เป็นพระเถระที่มีเชื้อสายมอญ มีสีลาจารวัตรที่งดงามและได้รับความนับถือจากชาวบ้านอย่างล้ำลึก ตอนนั้นทั้งสองพระองค์ได้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่พุก จึงเสด็จมานมัสการและถวายสิ่งของพระราชทาน เพื่อแสดงความเคารพนับถือ หลังจากนั้น หลวงปู่พุกได้ปกครองและดูแลวัดท่าขนุนจนถึง พ.ศ. 2489 ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ และหลังจากนั้น ชาวบ้านได้นิมนต์หลวงปู่เต๊อะเน็ง ชาวกะเหรี่ยงนอก (มาจากพม่า) มาเป็นเจ้าอาวาสของวัดท่าขนุนต่อเนื่อง

วัดท่าขนุน_06

วัดท่าขนุน_06-2

          ช่วงนั้นวัดท่าขนุนกำลังต้องการการฟื้นฟูและพัฒนา ที่อยู่ในสภาวะร้างโรย หลวงพ่ออุตตมะที่เดินธุดงค์จากพม่าเข้าไทยมา ได้มีโอกาสพบกับหลวงปู่เต๊อะเน็งที่วัดท่าขนุน ด้วยความมีใจกว้างของทั้งสอง พระทั้งสองจึงร่วมมือกันสร้างมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอยจำลองเพื่อเป็นการสืบทอดศาสนาและสร้างเสริมเจริญให้กับวัดท่าขนุน

          สำหรับหลวงปู่เต๊อะเน็งเอง ท่านได้บริหารวัดท่าขนุนจนถึง พ.ศ. 2494 ก่อนที่จะต้องเดินทางกลับพม่า และไม่มีโอกาสกลับมาดูแลวัดอีกต่อไป การบริหารวัดหลังจากนั้นทางคณะสงฆ์ได้ตัดสินใจส่งพระภิกษุจากเมืองกาญจนบุรีมาเป็นผู้ดูแล แต่สภาพภูมิอากาศและโรคไข้ป่าที่เป็นปัญหาในบริเวณนั้นทำให้พระภิกษุเหล่านั้นอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ต้องลากลับ ทำให้วัดท่าขนุนยังคงเป็นวัดร้าง

          อย่างไรก็ตาม วันที่ 26 ธันวาคม 2495 หลวงปู่สาย อคฺควํโส จากนครสวรรค์ได้มาดำเนินธุดงค์และปักกลดปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน การปฏิบัติธรรมของท่านได้รับการยอมรับและนับถือจากชาวบ้าน ชาวบ้านยังให้การอุปัฏฐากยิ่งยวดแก่หลวงปู่สาย แต่จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2496 หลวงปู่สายก็ต้องทำการลาชาวบ้าน เพื่อเดินธุดงค์เข้าประเทศพม่า แต่วัดท่าขนุนยังคงอยู่ในใจชาวบ้านมาตลอดเวลา

วัดท่าขนุน_07

          วัดท่าขนุนเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในประเทศไทย ในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 หลวงปู่สาย พระภิกษุที่มีชื่อเสียงและมีความเป็นมากในระดับประเทศ ได้เดินธุดงค์กลับจากประเทศพม่า และเข้ามายังวัดท่าขนุน โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้านซึ่งนำโดยนายบุญธรรม นกเล็ก ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นั้น หลวงปู่สายได้ทรงอยู่จำพรรษาที่วัดท่าขนุนจนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496

          ในระหว่างนั้น นายบุญธรรม นกเล็ก ได้ขอเรียนธรรมจากหลวงปู่สายและนำคณะชาวบ้านไปขอพรที่หลวงปู่น้อย เตชปุญฺโญ (พระครูนิพันธ์ธรรมคุต) เจ้าอาวาสวัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ ท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์และเป็นผู้ดูแลหลวงปู่สาย หลังจากการขอพร หลวงปู่สายได้กลับไปยังวัดหนองโพธิ์ในจังหวัดนครสวรรค์

          เมื่อพ้นกำหนดการจำพรรษาในปี พ.ศ. 2497 นายบุญธรรม นกเล็ก ซึ่งมีศรัทธาในหลวงปู่สายมาก ได้นำคณะชาวบ้านเดินทางไปยังนครสวรรค์ เพื่อขอหลวงปู่สายกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดท่าขนุน หลวงปู่น้อยตอบรับคำขอและให้ความยินยอม ทำให้หลวงปู่สายได้กลับมาที่วัดท่าขนุนอีกครั้งในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 และตั้งแต่นั้นหลวงปู่สายได้ร่วมมือกับชาวบ้านทำการบูรณะและพัฒนาวัดท่าขนุนให้เติบโตขึ้นจนถึงปัจจุบัน

วัดท่าขนุน_08

          วัดท่าขนุนเป็นหนึ่งในวัดที่มีความหมายสำคัญและประวัติยาวนานในจังหวัดกาญจนบุรี หลวงปู่สายได้รับการยกย่องจากพระวิสุทธิรังษี (ดี พุทธโชติมหาเถระ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้นเป็นผู้ที่ได้มอบหมายให้เขาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ตามหนังสือแต่งตั้งเลขที่ 1/2497 ลงวันที่ 1 มกราคม 2498 สามารถเห็นได้ว่าในระยะเวลานั้นหลวงปู่สายมีบทบาทสำคัญในการร่วมกับศรัทธาชาวบ้านในการพัฒนาวัดท่าขนุน จนวัดนี้ได้กลับมาฟื้นฟูและเป็นวัดที่สมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้านจนได้รับรางวัลวัดพัฒนาตัวอย่างในปี 2516

          แต่แล้วก็มีเหตุการณ์เศร้าขึ้นกับวัดท่าขนุน ในปี 2535 หลวงปู่สาย อคฺควํโส ได้มรณภาพลง ทำให้วัดท่าขนุนมีการเปลี่ยนแปลงมาก การซ่อมแซมและรักษาเสนาสนะภายในวัดมีบางส่วนที่ทรุดโทรม บางส่วนก็ชำรุดจนไม่สามารถใช้งานได้

          สู่ปี 2545 สมัยที่พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน, พระราชธรรมโสภณ ซึ่งรักษาการเป็นเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้น ได้มอบหมายให้พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ มารับผิดชอบและพัฒนาวัดท่าขนุนให้กลับมาสวยงามและมีเสนาสนะที่สมบูรณ์ขึ้นอีกครั้ง ตามการประกาศของเจ้าคณะ ทำให้วัดท่าขนุนได้กลับมามีชีวิตชีวาและเป็นศูนย์กลางทางวิญญาณของชาวบ้านอีกครั้ง

Tag : วัดท่าขนุน,ไหว้พระ,ไหว้พระกาญจนบุรี,สถานที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรี,สถานที่ท่องเที่ยว,ท่าขุนน,จังหวัดกาญจนบุรี,อำเภอทองผาภูมิ,ด่านท่าขนุน,แม่น้ำแควน้อย

Other tourist attractions in Kanchanaburi Province

วัดถ้ำมังกรทอง

วัดถ้ำมังกรทอง

Mueang Kanchanaburi district , Kanchanaburi Province
ภายในวัดมีถ้ำเรียกกันว่าถ้ำมังกรทอง เป็นถ้ำขนาดเล็ก มีซอกหินสลับซับซ้อนสวยงาม และภายในถ้ำมีหลวงพ่อใหญ่พระพุทธรูปโบราณอายุกว่า 100 ปี
น้ำตกเกริงกระเวีย

น้ำตกเกริงกระเวีย

Thong Pha Phum district , Kanchanaburi Province
อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ริมถนนสายหลัก และร้านอาหารอยู่หลายร้าน สามารถ แวะพักผ่อน รับประทานอาหาร หรือเล่นน้ำได้
วัดวังวิเวการาม (วัดหลวงพ่ออุตตมะ)

วัดวังวิเวการาม (วัดหลวงพ่ออุตตมะ)

Sangkhla Buri district , Kanchanaburi Province
วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นองค์กรศาสนาที่ถูกสร้างขึ้นในลักษณะของศิลปะพม่าที่งดงาม โดยที่วัดเดิมถูกจมน้ำในที่สุดจากการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม
อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์

อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์

Si Sawat district , Kanchanaburi Province
ประกอบด้วยทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตก น้ำพุร้อน ถ้ำ และเกาะแก่งต่างๆ ในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนศรีนครินทร์ที่มีทิวทัศน์สวยงาม มีเขตติดต่อกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค อุทยานแห่งชาติเอราวัณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
เขื่อนศรีนครินทร์

เขื่อนศรีนครินทร์

Si Sawat district , Kanchanaburi Province
เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลอง สร้างขึ้น บนแม่น้ำแควใหญ่ บริเวณบ้านเจ้าเณร นับเป็น เขื่อนแห่งที่ 8 ในจำนวน 17 แห่ง ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สร้างขึ้น
วัดถ้ำเสือ

วัดถ้ำเสือ

Tha Muang district , Kanchanaburi Province
เป็นวัดที่มีพระองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พระเจดีย์ที่มีความสวยงามโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกล ตั้งอยู่บนเนินเขา มีพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท และหลวงพ่อชินประทานพร
เขาช้างเผือก

เขาช้างเผือก

Thong Pha Phum district , Kanchanaburi Province
ป็นที่เที่ยวสำหรับคนที่ชอบการเดินป่า ชอบผจญภัย พิชิตยอดเขาสูง ยอดเขาช้างเผือกสูงตระหง่าน รอให้มาพิสูจน์ความกล้ากัน โดยเฉพาะจุดของสันเขาที่หวาดเสียวที่สุดที่เรียกว่า สันคมมีด
อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ

อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ

Thong Pha Phum district , Kanchanaburi Province
อยู่ในเขตท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยเขย่งและป่าเขาช้างเผือก มีพืชพรรณธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และยังมีหมู่บ้านที่ยังอยู่ห่างไกล
ประตูเมืองกาญจนบุรี

ประตูเมืองกาญจนบุรี

Mueang Kanchanaburi district , Kanchanaburi Province
เป็นประตูเมืองที่ก่อด้วยอิฐและปูน สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะประตูเมืองด้านหน้าและกำแพงเมืองบางส่วนที่อยู่ติดกัน
สะพานอุตตมานุสรณ์ (สะพานมอญ)

สะพานอุตตมานุสรณ์ (สะพานมอญ)

Sangkhla Buri district , Kanchanaburi Province
นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมวิว และสัมผัสอากาศเย็นในช่วงเข้าฤดูหนาว ที่สะพานมอญ ตอนเช้าจะได้สัมผัสไอหมอกที่ปกคลุมบนท้องน้ำและยอดเขา และร่วมใส่บาตรบริเวณสะพานไม้มอญ ตามวิถีชีวิตชาวมอญ
วัดท่าขนุน

วัดท่าขนุน

Thong Pha Phum district , Kanchanaburi Province
ได้ชื่อตามเมืองด่านท่าขนุน สมัยนั้นการสัญจรส่วนมากไปทางเรือที่ล่องตามลำน้ำแควน้อย จุดที่ตั้งของเมืองด่านท่าขนุนเป็นท่าเรือ มีต้นขนุนอยู่หลายต้น จึงเรียกกันง่าย ๆ ว่า ท่าขนุน
จุดชมวิวป้อมปี่

จุดชมวิวป้อมปี่

Sangkhla Buri district , Kanchanaburi Province
จุดชมวิวป้อมปี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เงียบสงบและสวยงามของประเทศไทย ป็นพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จุดชมวิวนี้ตั้งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติเขาแหลม
วัดสมเด็จ

วัดสมเด็จ

Sangkhla Buri district , Kanchanaburi Province
เป็นวัดที่มีศิลปวัฒนธรรมไทยรามัญ (มอญ) และพม่าอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ด้านนอกบริเวณฝั่งตรงข้ามของถนนอีกฟากจะมีศาลาซึ่งมีพระพุทธรูปปางต่างๆ
เจดีย์พุทธคยา

เจดีย์พุทธคยา

Sangkhla Buri district , Kanchanaburi Province
พระเจดีย์พุทธคยาเป็นสถานที่สักการะที่มีความสำคัญและเป็นที่รู้จักอย่างดีในหมู่ผู้นับถือศาสนาพุทธและนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่ใกล้กับวัดวังก์วิเวการามที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน
วัดโชคผาสุกิจ

วัดโชคผาสุกิจ

Thong Pha Phum district , Kanchanaburi Province
ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ห่างจากวัดท่าขนุนไปทาง อ.สังขละบุรี ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์โชคผาสุกิจ
ถนนคนเดินสังขละบุรี

ถนนคนเดินสังขละบุรี

Sangkhla Buri district , Kanchanaburi Province
แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งสำหรับผู้ที่ชอบเที่ยว กิน ช้อปปิ้ง เดินเล่นชิลๆ บรรยากาศดีๆ สามารถแวะได้ที่ ถนนคนเดินสังขละบุรี มีเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น
ต้นจามจุรียักษ์หรือต้นก้ามปูยักษ์

ต้นจามจุรียักษ์หรือต้นก้ามปูยักษ์

Mueang Kanchanaburi district , Kanchanaburi Province
เป็นต้นจามจุรียักษ์ขนาดใหญ่มาก ยืนต้นตระหง่านมายาวนานมากกว่า 100 ปี เป็นความงดงามที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน
วัดปากลำขาแข้ง (โบสถ์สแตนเลส)

วัดปากลำขาแข้ง (โบสถ์สแตนเลส)

Si Sawat district , Kanchanaburi Province
พระพุทธรูปแสตนเลส ฉลุลายไทยวิจิตรงดงาม สร้างสรรค์จากแรงศรัทธาของประชาชน ที่ช่วยกันบริจาคสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วัดถ้ำพุหว้า

วัดถ้ำพุหว้า

Mueang Kanchanaburi district , Kanchanaburi Province
โอบล้อมด้วยภูเขา ป่าไม้และถ้ำที่เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อยสวยงาม บรรยากาศโดยรอบสะอาด ร่มรื่นและเงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปปฏิบัติธรรมและเจริญศีลภาวนา

Tourist attractions by province

Northern tourist

Northeast tourist

Central tourist

Eastern tourist

Southern tourist