วัดภูมินทร์ ไม่เพียงเป็นที่สำคัญทางศาสนา แต่ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดน่าน และเป็นอีกหนึ่งวัดที่หากไม่ได้เข้ามาเยี่ยมชมถือว่ายังไม่ได้มาถึงน่านจริงๆ อย่างที่มักจะถูกกล่าวไว้ว่า "หากไม่ได้แวะมาวัดภูมินทร์ ก็ยังไม่ถือว่าได้มาน่าน"
วัดภูมินทร์หรือที่เรียกในชื่อเดิมว่าวัดพรหมมินทร์ ก่อตั้งโดยเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าคนแรกของนครน่าน ในปีพ.ศ. 2139 หลังจากที่ท่านรับราชการได้ 6 ปี และต่อมามีการเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดภูมินทร์" ตามที่เรารู้จักในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้วัดภูมินทร์น่าสนใจและไม่เหมือนวัดอื่น ๆ คือ การที่มีพระอุโบสถทรงจตุรมุขที่มีบันไดนาคทั้งสี่ทิศ และมีการประดิษฐานพระประธานจตุรพักตร์ทั้งสี่ด้าน ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันไดทิศไหนก็จะพบพระพักตร์ของพระพุทธรูปทุกด้าน
เพิ่มเติมอีกคือ มีภาพวาดฝาผนัง, ปู่ม่าน, ย่าม่าน หรือ ภาพกระซิบรักบรรลือโลก ซึ่งเป็นภาพวาดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองน่าน ทำให้วัดภูมินทร์หรือที่รู้จักในชื่อวัดพระธาตุเขาน้อย ไม่เพียงแค่เป็นจุดหมายปลายทางทางศาสนา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ร่วมสร้างเอกลักษณ์และเรื่องราวที่สวยงามให้กับเมืองน่าน
วัดพระธาตุเขาน้อย หรือที่รู้จักในชื่อวัดภูมินทร์ มีลักษณะพิเศษและไม่เหมือนใครที่ไม่พบได้ที่วัดใดๆในประเทศไทย นั่นก็คือ พระอุโบสถทรงจตุรมุขที่มีพระประธานจตุรพักตร์ที่ใหญ่หลวงน่านับถือ ทั้งนี้ เหล่านาคขนาดใหญ่ทั้งหลายถูกพระอุโบสถจตุรมุขเทินไว้กลางลำตัว เรียกได้ว่าเป็นภูมินทร์ที่อลังการที่สุดในประเทศไทย พระอุโบสถนี้ได้รับการสันนิษฐานจากกรมศิลปกรว่าเป็นพระอุโบสถทรงจตุรมุขแรกๆของประเทศ
ในพระอุโบสถหัวใจของวัดนี้ มีการประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ทั้งหมด 4 องค์ ทุกองค์หันพระพักตร์ออกสู่ประตูทั้งสี่ทิศ นั่งบนฐานชุกชี ในท่ามารวิชัย สามารถชมพระพักตร์ของพระพุทธรูปจากทุกทิศทางเมื่อขึ้นบันไดของพระอุโบสถ
ทว่า นอกจากความงามและอลังการแล้ว มีเรื่องราวที่สืบทอดมาว่า ถ้าใครต้องการขอพร ควรสังเกตหน้าพระองค์ที่อยู่ที่แต่ละทิศ จะพบว่ามีเพียงองค์เดียวที่มีลักษณะยิ้มแย้มมากกว่าสามองค์อื่น ซึ่งถือเป็นทิศที่ดีที่สุดสำหรับการขอพร และก็จะได้รับความสำเร็จตามที่ตั้งใจ
วัดภูมินทร์ ผ่านการซ่อมแซมทั่วถึงในยุคของเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410 (ในช่วงปลายรัชกาลที่ 4) โดยใช้เวลาในการซ่อมสร้างมากถึง 7 ปี อนึ่งการบูรณะในระยะเวลานี้ ได้สร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังที่เป็นเอกลักษณ์ให้แก่วิหารวัดภูมินทร์
ภาพจิตรกรรมหรือที่เรียกว่า "ฮูบแต้ม" ในวัดภูมินทร์ เป็นการเล่าสร้างเรื่องราวผ่านศิลปะที่สะท้อนการปฏิบัติศาสนาพุทธ แต่นอกจากนี้ยังเป็นการบันทึกความเป็นมาของวิถีชีวิตในยุคนั้น อย่างเป็นเอกลักษณ์ที่วัดภูมินทร์ ซึ่งจุดเด่นในเรื่องราวที่เล่าผ่านภาพจิตรกรรมนั้นคือ "กระซิบบันลือโลก" หรือ "ปู่ม่าน ย่าม่าน" ซึ่งเป็นการพรรณนากลอนของชาวไทลื้อในสมัยโบราณผ่านภาพของคู่ชาย-หญิงที่กำลังสนทนากัน
"ปู่ม่าน ย่าม่าน" หมายถึงชายที่สักหมึกและหญิงที่แต่งตัวในสไตล์ไทยด้วยชุดลื้อที่ครบครัน ภาพนี้สะท้อนความประณีตและชีวิตประจำวันของคนไทยในยุคนั้น และโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของวัดภูมินทร์ มันถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างงามงวยและได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่ดีที่สุดในวัดภูมินทร์